เมนู

อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . .
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะ
อวิชชานั่นแหละดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ. . .ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประ-
การอย่างนี้.
[56] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ติมพรุกขปริพาชก-
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบ
เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยประสงค์ว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้า
พระองค์ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอด
ชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบติมพรุกขสูตรที่ 8

อรรถกถาติมพรุกขสูตรที่ 8



ในติมพรุกขสูตรที่ 8 พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้.
คำว่า สา เวทนา เป็นต้น ตรัสเพื่อจะปฏิเสธลัทธิที่ว่า สิ่งที่
ตนทำเอง เป็นสุขและทุกข์. คำว่า สโต แม้ในบทว่า อาทิโต สโต
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัตติ. ในข้อนี้ มีการแสดง
เนื้อความดังต่อไปนี้ :- ติมพรุกขะ เมื่อคำเป็นต้นว่า สา เวทนา โส

เวทยติ มีอยู่อย่างนี้ ภายหลังย่อมมีลัทธิดังนี้ว่า สิ่งที่ตนทำเองเป็นสุข
เป็นทุกข์ และเมื่อกล่าวอย่างนี้ ย่อมรู้ตามว่า เวทนานี้มีแม้ในกาลก่อน
คือแสดงสัสสตทิฏฐิ ยึดถือสัสสตทิฏฐิ. เพราะเหตุไร. เพราะข้อนั้น เป็น
ความเห็นของท่าน. บทว่า เอตํ ปเร ความว่า เข้าถึงสัสสตทิฏฐินั้น.
เพราะทรงหมายเอาเนื้อความก่อนจึงตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น ใน
อรรถกถา ท่านจึงประกอบคำนั้น แล้วแสดงเนื้อความแห่งคำนั้น. บทว่า
เอวญฺจาหํ น วทามิ ความว่า เราจะไม่พูดอย่างนี้ว่า สา เวทนา
โส เวทยติ. คำว่า อญฺญา เวทนา
เป็นอาทิ ตรัสเพื่อจะปฏิเสธ
ลัทธิที่ว่า สุขและทุกข์อันคนอื่นทำ. แม้ในบทนี้ มีการประกอบความ
ดังต่อไปนี้ :- ติมพรุกขะ เมื่อคำเป็นต้นว่า อญฺญา เวทนา อญฺโญ
เวทยติ
มีอยู่อย่างนี้ ภายหลังเมื่อถูกเวทนาที่สัมปยุตกับอุจเฉททิฏฐิ ที่
เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า การกเวทนาในฝ่ายแรกขาดสูญ แต่สิ่งที่ตนทำเอง ผู้อื่น
เสวย ดังนี้ ครอบงำ ย่อมมีลัทธิดังนี้ว่า สิ่งที่ผู้อื่นทำเป็นสุข เป็นทุกข์
ดังนี้ และเมื่อกล่าวอย่างนี้ ย่อมแสดงอุจเฉททิฏฐิ ย่อมยึดถืออุจเฉททิฏฐิ
ว่า การกะขาดสูญ สิ่งอื่นถือปฏิสนธิ. เพราะเหตุไร. เพราะข้อนั้น เป็น
ความเห็นของท่าน. บทว่า เอตํ ปเร ได้แก่เข้าถึงอุจเฉททิฏฐินั้น. ก็ใน
ที่นี้ท่านนำบทเหล่านี้มาประกอบไว้ในอรรถกถาแล้ว. พระองค์ตรัสสุข-
เวทนาและทุกขเวทนาไว้ในพระสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้ และสุขทุกข์ที่
เป็นวิบากนั้นแลก็ตรัสว่าเหมาะ (ที่จะกล่าวไว้ในพระสูตรนี้เหมือนกัน ).

จบอรรถกถาติมพรุกขสูตรที่ 8

9. พาลบัณฑิตสูตร



ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต



[57] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบ
ด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อม
มีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ
สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล
เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ กายนี้ของบัณฑิต ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว
ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอก
ด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้จึงเกิด
ผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองงอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้อง
บัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์.
[58] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร
จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวก
ภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มี
พระภาคเจ้า
เป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มี
พระภาคเจ้า
เป็นที่รวมลง ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระ
ภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียว ภิกษุทั้งหลาย
ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวก